วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

หน่วยที่3 เรื่องมัลติมิเตอร์

3.1 มัลติมิเตอร์
  มัลติมิเตอร์ คือ เครื่องมือวัดปริมาณทางไฟฟ้าหลายประเภทรวมอยู่ในเครื่องเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วมัลติมิเตอร์สามารถใช้ปริมาณความต่างศักย์ไฟฟ้ากระแสตรง ความต่างศักย์ไฟฟ้ากระแสสลับปริมาณกระแสไฟฟ้ากระแสตรง และความต้านทานไฟฟ้า เป็นต้น มัลติมิเตอร์บางแบบสามารถใช้วัดปริมาณอื่น ๆ ได้อีก เช่น กำลังออกของสัญญาณความถี่เสียง การขยายกระแสของทรานซิสเตอร์กระแสรั่วของทรานซิสเตอร์ ฯลฯ มัลติมิเตอร์แสดงผลการวัดปริมาณทางไฟฟ้าได้ 2 แบบ คือแบบตัวเลข เรียกว่า ดิจิตอลมัลติมิเตอร์ และแบบเข็ม เรียกว่า อะนาลอกมัลติมิเตอร์ ซึ่งในเอกสารประกอบการเรียน หน่วยที่ นี้ จะกล่าวถึงมัลติมิเตอร์แบบเข็มเพียงอย่างเดียว และต่อไปนี้ มัลติมิเตอร์ หมายถึง มัลติมิเตอร์แบบเข็ม ลักษณะดิตอลมัลติมิเตอร์ และ อะนาลอกมัลติทิเตอร์



                          
                                      
รูปที่ 3.1 ลักษณะดิตอลมัลติมิเตอร์ และอะนาลอกมัลติทิเตอร์

3.1.1 ส่วนประกอบของมัลติมิเตอร์
ส่วนประกอบสำคัญของมัลติมิเตอร์แต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นอาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในตำแหน่งของส่วนประกอบบนมัลติมิเตอร์ แต่มีหน้าที่การทำงานและการใช้งานของส่วนประกอบที่เหมือนกัน


รูปที่  3.2 ลักษณะและส่วนประกอบของมัลติมิเตอร์

จากรูปที่ 3.2 มัลติมิเตอร์มีรายละเอียดของส่วนประกอบตามหมายเลข ดังนี้
1. คือ เข็มมิเตอร์ (Indicator Pointer) ใช้ชี้ค่าตัวเลขบนสเกลที่หน้าปัดมัลติมิเตอร์
2. คือ สกรูปรับแต่งเข็ม (Indicator Zero Corrector) ใช้ปรับแต่งให้เข็มชี้ในตำแหน่งเลข เพื่อความถูกต้องก่อนเริ่มวัด
3. คือ ขั้วต่อ OUTPUT (Output Terminal) ใช้วัดสัญญาณ Output ของไฟฟ้าที่มีทั้งไฟฟ้ากระแสสลับและกระแสตรงอยู่รวมกัน โดยใช้สายบวกเสียบที่จุด Output แทน และอ่านสเกลเหมือนการวัด AC.V
4. คือ ขั้วต่อ – หรือ COM (Measuring Terminai -COM) ใช้ต่อกับสายวัดสีดำ
5.  คือ ขั้วต่อ หรือ ขั้ว P (Measuring Terminai +) ใช้ต่อกับสายวัดสีแดง
6. คือ ปุ่มเลือกย่านวัด (Range Selector Switch Knob) เป็นสวิตส์ที่ผู้ใช้จะต้องบิดเลือกว่าจะใช้วัดปริมาณใด ซึ่งมีทั้งหมด ปริมาณ แต่ละปริมาณมีย่านการสัดให้เลือก ดังนี้
(1) การวัดค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC.V) ประกอบด้วยย่านวัด 10 V, 50 V, 250 V และ 1,000 V รวม ย่านการวัด
(2) การวัดค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC.V) ประกอบด้วยย่านวัด 0.1 V, 0.5 V, 2.5 V, 10 V, 50 V, 250 V และ 1,000 V รวม ย่านการวัด
(3) การวัดค่ากระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC.mA) ประกอบด้วยย่านวัด 50 µA, 2.5 mA, 25 mA และ 250 mA รวม ย่านการวัด
(4) การวัดค่าความต้านทาน (Ω) ประกอบด้วยย่านการวัด × 1 (แสดงค่าได้ 0-2 kΩ) × 10 (แสดงค่าได้ 0-20 kΩ) × 1k (แสดงค่าได้ 0-2,000 kΩ หรือ 2 MΩ) และ × 10k (แสดงค่าได้ 0-20 MΩ) ย่านวัดค่าความต้านทานสามารถเลือกย่านวัดได้รวม ย่านการวัด หรืออาจจะมัมัลติมิเตอร์บางรุ่นมีย่านวัด × 100k เพิ่มมา
7. คือ ปุ่มปรับ 0Ω ADJ (0 Ω Adjust Knob) ใช้ปรับแต่งเข็มมิเตอร์ให้อยู่ในตำแหน่งศูนย์โอห์มพอดี เมื่อทำการปรับศูนย์โอห์มขณะใช้ย่านวัดความต้านทาน
8. คือ กระจก (Panel)
3.1.2 การอ่านค่าสเกลของมัลติมิเตอร์

รูปที่ 3.4 รายละเอียดบนสเกลของมัลติมิเตอร์

รายละเอียดบนสเกลของมัลติมิเตอร์ มีดังนี้
คือ สเกล Ω (โอห์ม) ใช้สำหรับอ่านค่าที่ได้จากการวัดค่าความต้านทานในย่านวัด Ω ด้านล่างของสเกลนี้มีกระจกเงาเพื่อช่วยแก้ความคลาดเคลื่อนในการอ่าน
คือ สเกล DC V.A และ AC .V ใช้สำหรับอ่านค่าที่ได้จากการวัดค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงในย่านวัด DC.V ปริมาณกระแสไฟฟ้ากระแสตรง ในย่านวัด DC.mA และแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับในย่านวัด AC.V ใช้ย่านวัด AC, 50 V ขึ้นไป สเกลนี้แบ่งเป็นสเกลย่อยไว้ 3 สเกล คือ
สเกลบน มีตัวเลขตั้งแต่ 0-250
สเกลกลาง มีตัวเลขตั้งแต่ 0-50
สเกลล่าง มีตัวเลขตั้งแต่ 0-10
 คือ สเกล AC, 10 V ใช้สำหรับอ่านค่าที่ได้จากการวัดค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับที่มีค่าไม่เกิน 10 โวลต์ ในย่านวัด AC, 10 V
คือ สเกล LI (µA, mA) ใช้สำหรับอ่านค่าที่ได้จากการวัดค่า กระรั่วย้อนของทรานซิสเตอร์ ระหว่างคอลเล็กเตอร์กับเบส และผ่านอิมิเตอร์ของทรานซิสเตอร์ ขณะวงจรเบสเปิด ในย่านวัด Ω × (150 mA)  หรือ Ω × (15 mA)
คือ สเกล LV (V) ใช้สำหรับอ่านค่าที่ได้จากการวัดค่า แรงดันตกคร่อมจุดวัด ขณะใช้ย่านวัดความต้านทาน ในย่านวัด Ω × 1 หรือ Ω × 10
คือ สเกล dB ใช้สำหรับอ่านค่าที่ได้จากการวัดค่ากำลังออกของสัญญาณความถี่เสียง ในย่านวัด AC, V
คือ สเกล hFE ใช้สำหรับอ่านค่าที่ได้จากการวัดค่าอัตราการขยายกระแสตรงของทรานซิสเตอร์ ในย่านวัด Ω × 10
3.1.3 การวัดค่าปริมาณต่าง ๆ ทางไฟฟ้าด้วยมัลติมิเตอร์      
การวัดค่าปริมาณไฟฟ้าต่าง ๆ ทางไฟฟ้าในเอกสารนี้ อธิบายการวัดค่าทางไฟฟ้าที่ใช้งานหลัก ๆ ปริมาณ คือ การวัดค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC.V) แรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC.V) กระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC.mA) และความต้านทาน (Ω) 
1. การวัดค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC.V) ด้วยมัลติมิเตอร์ มีการวัดตามหลักการของ AC. V ดังนี้
(1) นำสายวัดสีแดงเสียบที่ขั้วต่อ หรือขั้ว และสายสีดำเสียบที่ขั้วต่อ – หรือ COM
(2) ตั้งย่านวัดให้ถูกต้อง คือ ถ้าวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับต้องใช้ย่านวัด AC.V
(3) ตั้งย่านวัดที่มีค่าเหมาะสม ถ้าไม่ประเมินค่าที่จะวัดได้ ให้ตั้งย่านวัดสูง ๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยลดย่านวัดลงตามลำดับ จนถึงย่านวัดที่มีค่าใกล้เคียงกับแรงดันของจุดวัดที่สุด เพื่อมัลติมิเตอร์จะได้ไม่เสียหาย เนื่องจากเข็มมัลติมิเตอร์จะชี้ไปด้านมือเกินสเกล
(4) การวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับที่มีค่าสูงตั้งแต่ 200 V ต้องใช้ความระมัดระวัง โดยนำปลายสายวัดทั้งสองวัดคร่อมขนานกับอุปกรณ์ หรือตำแหน่งที่จะวัด แต่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงขั้วของสายวัด และจะต้องตั้งย่านวัดที่AC.V ที่ 250 หรือ 1,000
(5) ให้ปิดสวิตซ์แหล่งจ่ายของวงจรที่จะวัด ก่อนที่จะเอาสายวัดต่อที่จุด อย่าแตะต้องสายวัดที่เป็นโลหะ และจุดวัด เมื่อวัดเรียบร้อยและให้ปิดสวิตซ์ของแหล่งจ่ายก่อนที่จะถอดสายวัดออกจากจุดวัด
(6) การอ่านค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับที่ทำการวัดตามขั้นตอน 1-5 ที่เข็มชี้แสดงบนสเกลในย่านวัด AC.V
 2. การวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงด้วยมัลติมิเตอร์ มีการวัดตามหลักการดังนี้
(1) นำสายวัดสีแดงเสีบยที่ขั้วต่อ หรือขั้ว และสายสีดำเสียบที่ขั้วต่อ – หรือขั้ว COM
(2) ตั้งย่านวัดให้ถูกต้อง คือ ถ้าวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงต้องใช้ย่านวัด DC.V
(3) ตั้งย่านวัดที่มีค่าเหมาะสม คือ ถ้าไม่สามารถประเมินค่าที่จะวัดได้ ให้ตั้งย่านวัดสูง ๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยลดย่านวัดลงตามลำดับ จนถึงย่านวัดที่มีค่าใกล้เคียงกับแรงดันของจุดวัด เพื่อมัลติมิเตอร์จะได้ไม่เสียหาย เนื่องจากเข็มจะชี้ไปด้านมือ หรือซ้ายมือ (กรณีวัดผิดขั้ว) เกินสเกล
(4) ต้องต่อสายวัดให้ถูกต้อง คือ ถ้าวัดแรงดันจะต่อขนานกับต่ำแหน่งที่จะวัด ต้องต่อขั้วสายวัดให้ถูกต้อง มิฉะนั้นเข็มจะตีกลับทำให้มัลติมิเตอร์เสียหายได้
(5) อ่านค่าจากสเกลให้ถูกต้อง โดยในกรณีย่านวัดค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงส่วนใหญ่จะมี ย่านวัด โดยสเกลที่ใช้อ่าน และตัวคูณค่า
3. การวัดค่ากระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC.mA) ด้วยมัลติมิเตอร์ มีการวัดตามหลักการดังนี้
(1) สายวัดสีแดงเสียบเข้าที่ขั้วต่อบวก (+) และสายวัดสีดำเสียบเข้าที่ขั้วต่อลบ (- COM)  ของมิเตอร์
(2) ปรับสวิตช์เลือกย่านวัดไปย่านที่เหมาะสม หากไม่ทราบค่ากระแสไฟตรงให้ใช้ย่านวัดสูงสุดไว้ก่อน  วัดแล้วเข็มไม่ขึ้นหรือขึ้นน้อยจึงจะเปลี่ยนไปใช้ย่านวัดที่ต่ำลงมาตามลำดับ
(3) การวัดกระแสไฟตรงให้ตัดวงจรและใช้สายวัดทั้งสองวัดปลายสายของวงจรที่ถูกตัด  คือการต่ออนุกรมกับวงจร  และต้องต่อสายวัดให้ตรงกับขั้วการไหลของกระแส  ย่านวัด DCmA  แสดงดังรูปที่การต่อมัลติมิเตอร์วัดกระแสไฟตรง 


รูปที่ 3.5 การตั้งย่านวัดกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสตรง

 4. การวัดค่าความต้านทานด้วยมัลติมิเตอร์ มีวิธีการดังนี้
(1) สายวัดสีแดงเสียบเข้าที่ขั้วต่อบวก (+) และสายวัดสีดำเสียบเข้าที่ขั้วต่อลบ (- COM) 
(2) ก่อนการวัดความต้านทานทุกครั้ง หรือเปลี่ยนย่านวัดโอห์มมิเตอร์ต้องปรับแต่งเข็มชี้โอห์มมิเตอร์ชี้  0Ω โดยการช็อตสายวัดสีดำและสีแดงเข้าด้วยกัน และปรับที่ปุ่ม 0Ω ADJ  
(3) หากไม่ทราบค่าความต้านทานที่จะวัดให้ตั้งย่านวัด  ×1 ก่อนวัดแล้วเข็มไม่ขึ้นหรือขึ้นน้อย   จึงจะเปลี่ยนไปใช้ย่านวัดที่สูงขึ้นตามลำดับ การวัดค่าความต้านทานด้วยมัลติมิเตอร์แสดง

3.2 เครื่องกำเนิดสัญญาณ
เครื่องกําเนิดสัญญาณ เป็นเครื่องมือวัดและทดสอบชนิดหนึ่ง ทําหน้าที่เป็นตัวให้กําเนิดสัญญาณชนิดต่าง ๆ ขึ้นมา เช่น สัญญาณไซน์ (Sine wave) สัญญาณสี่เหลี่ยม (Square wave) สัญญาณสามเหลี่ยม (Triangle wave) และสัญญาณฟันเลี่อย (Sawtooth wave) เป็นต้น ดังรูปที่ 3.6 เพื่อใช้ในการทดสอบปรับแต่งและตรวจซ่อมวงจรอิเล็กทรอนิกส์เครื่องกําเนิดสัญญาณที่ถูกผลิตขึ้นมาใช้งานเรียก ชื่อแตกต่างกันตามค่าความถี่และชนิดของสัญญาณที่กําเนิดขึ้นมา ที่พบว่ามีการใช้งานแบ่งออกเป็น 5 ชนิดคือ
(1) เครื่องกําเนิดสัญญาณความถี่เสียง (Audio Frequency : AF generator)
(2) เครื่องกําเนิดสัญญาณความถี่วิทยุ (Radio Frequency :RF generator)
(3) ฟังก์ชันเจนเนอร์เรเตอร์ (Function generator)
(4) พัลซ์เจนเนอร์เรเตอร์ (Pulse generator)
(5) สวีฟเจนเนอร์เรเตอร์ (Sweep generator)
แต่ในบทเรียนจะศึกษาเฉพาะเครื่องกําเนิดสัญญาณที่นินมใช้กันอย่างแพร่หลายให้องปฏิบัติการทางไฟฟ้า และอิเลกทรอนิกส์ คือ ฟังก์ชั่นเจนเนอร์เรเตอร์(Function Generator) เท่านั้น ลักษณะของเครื่องกําเนิดสัญญาณแบบต่าง ๆ แสดงดังรูปที่ 3.7


รูปที่ 3.6 ลักษณะของรูปคลื่นสัญญาณชนิดต่าง ๆ



รูปที่ 3.7 ลักษณะของเครื่องกําเนิดสัญญาณชนิดต่าง ๆ

3.2.1 ฟังก์ชั่นเจนเนอร์เรเตอร์ (Function Generator)

ฟังก์ชั่นเจนเนอร์เรเตอร์ คือ เครื่องกําเนิดสัญญาณ ชนิดหนึ่งที่สร้างสัญญาณทางไฟฟ้าได้หลายรูปแบบ สามารถเลือกชนิดของรูปคลื่นสัญญาณ และสามารถกําหนดขนาดของสัญญาณ และความถี่ของสัญญาณได้ เพื่อนําไปใช้ในงานการสอบเทียบ เครื่องวัดวัด และการทดสอบ วงจรอิเล็กทรอนิกส์และวงจรไฟฟ้าแบบต่าง ๆ

โครงสร้าง

โครงสร้างวงจรภายในเครื่องฟังก์ชั่นเจนเนอร์เรเตอร์โดยทั่วไปจะประกอบด้วยโครงสร้างที่สําคัญ ส่วน

รูปที่ 3.8 Block diagram ของฟังก์ชั่นเจนเนอร์เรเตอร์
(1) วงจรปรับความถี่ของสัญญาณ (Frequency control network)

(2) แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าคงที่ (Constant current source 1,2)
(3) วงจรอินติเกรเตอร์ (Integrator) คือ วงจรกําเนิดสัญญาณคลื่นสามเหลี่ยม (Triangular wave generator)
(4) วงจรมัลติไวเบรเตอร์ (Multi-vibrator) ทําหน้าที่กําเนิดรูปคลื่นสี่เหลี่ยม
(5) วงจรขยายสัญญาณเอาต์พุต (Output Amplifier 1,2) ทําหน้าที่ปรับขนาดของสัญญาณที่สร้างได้ปกติจะปรับได้ระหว่าง 0.1VP-P-10VP-P
(6) วงจรเปลี่ยนรูปคลื่น (Shaping circuit) ทําหน้าที่เปลี่ยนรูปคลื่นสามเหลี่ยมเป็นคลื่นไซน์วงจรนี้จะใช้วงจรข่ายผสมระหว่างตัวต้านทาน กับไดโอด
(7) สวิตช์เลือกสัญญาณ (Selector switch) ทําหน้าที่ เลือกสัญญาณชนิดที่ต้องการส่งออกทางเอาต์พุต
คุณสมบัติของ Function Generator

Function Generator ใช้เป็นเครื่องกําเนิดรูปคลื่นได้หลายรูปคลื่น ที่สามารถควบคุมได้ทั้งการปรับแต่งรูปคลื่น ปรับแต่งขนาดและปรับแต่งความถี่ได้เพื่อใช้เป็นสัญญาณส่งออกไปยังวงจร อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อการตรวจสอบการทํางาน เพื่อตรวจซ่อม ปรับแต่ง หรือเปรียบเทียบค่า โดยใช้สัญญาณที่กําเนิดได้เป็นสัญญาณ มาตรฐาน (References Signal) หรือสัญญาณอ้างอิง เครื่องกําเนิดสัญญาณที่ได้มาตรฐานควรมีคุณลักษณะทั่วไปดังต่อไปนี้

(1) ความถี่ที่ของสัญญาณที่สร้างขึ้นต้องสามารถปรับค่าได้ในย่านความถี่ที่กว้าง ตั้งแต่ 1Hz- 1MHz เป็นต้น ในความถี่แต่ละค่าจะต้องมีความคงที่และสามารถอ่านค่าได้

(2) สัญญาณที่สร้างขึ้นต้องไม่มีรูปร่างที่ผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐาน และไม่มีสัญญาณรบกวนปะปนออกมา

(3) สามารถปรับ หรือ ควบคุมขนาด (Amplitude) ของสัญญาณที่สร้างขึ้นได้ตั้งแต่ขนาด ต่ำที่สุด จนถึงขนาดที่สูงที่สุด

การเลือกรูปสัญญาณ สามารถผลิตรูปคลื่นสัญญาณเอาต์พุตได้หลายชนิดเช่น รูปคลื่น ไซน์ (Sine Wave) รูปคลื่นสามเหลี่ยม (Triangular wave) รูปคลื่นฟันเลื่อย (Saw tooth Wave) รูปคลื่นสี่เหลี่ยม (Square Wave) และรูปคลื่นพัลส์ ( Pulse Wave ) เป็นต้น

การใช้งาน Function Generator

ในบทเรียนนี้เลือก Function Generator ผลิตภัณฑ์ของ Agilent model 33120A มาใช้ในการอธิบานการทํางาน






รูปที่ 3.9 Function Generator Agilent 33120A
การใช้งานปุ่มควบคุมต่าง ๆ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ปุ่มที่ 1 ปุ่มเปิด ปิด เครื่อง
ปุ่มที่ 2 ปุ่มหมุนเพื่อปรับเพิ่ม หรือ ลด ความถี่และขนาดของสัญญาณ
ปุ่มที่ 3 ปุ่มกดเพื่อ เลือกกําเนิดคลื่นไซน์
ปุ่มที่ 4 ปุ่มกดเพื่อ เลือกกําเนิดคลื่นสี่เหลี่ยม
ปุ่มที่ 5 ปุ่มกดเพื่อ เลือกกําเนิดคลื่นสามเหลี่ยม
ปุ่มที่ 6 ปุ่มกดเพื่อ เลือกกําเนิดคลื่นฟันเลื่อย
ปุ่มที่ 7 ปุ่มกดเพื่อ เลือกปรับความถี่ของสัญญาณ
ปุ่มที่ 8 ปุ่มกดเพื่อ เลือกปรับขนาดของสัญญาณ
ปุ่มที่ 9 ปุ่มกดเพื่อ เลือกเมนูเพื่อปรับ ความถี่และขนาดของสัญญาณ
ปุ่มที่ 10 ปุ่มกดเพื่อ เพิ่ม ลดค่าความถี่และขนาดของสัญญาณ
ปุ่มที่ 11 ขั้วต่อสัญญาณออกไปใช้งาน
ปุ่มที่ 12 จอแสดงค่า ชนิด ความถี่และขนาดของสัญญาณ
ตัวอย่าง จงตั้งค่าแรงดัน และความถี่ของสัญญาณไซน์ที่กําเนิดจาก Function generator เท่ากับ 20VP-P, f=1 kHz

รูปที่ 3.10 การตั้งค่า Sine wave 20VP-P, f=1 kHz
วิธีทํา
1. กดสวิตช์เปิดเครื่อง
2. กดปุ่ม เลือกคลื่นไซน์
3. กดปุ่ม Ampl เพื่อปรับขนาดแรงดัน
4. หมุนปุ่มปรับขนาดแรงดัน จนได้ค่า 20.00 VP-P
5. กดปุ่ม Freq เพื่อปรับความถี่
6. หมุนปุ่มปรับความถี่จนได้ค่า 1.00 kHz
7. อ่านค่า แรงดัน 20.00 VP-P และความถี่ 1.00 kHz ที่หน้าจอเครื่อง และใช้ออสซิลโลสโคปมาวัดรูปคลื่นไซน์ที่ขั้วเอาต์พุตจะได้ตรงกับที่ปรับตั้งค่า ดังรูปที่ 3.10

1 ความคิดเห็น:

แบบทดสอบหลังเรียน

แบบทดสอบหลังเรียน